ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Elisa Morgan

หยุดพัก

นาฬิกาบอกเวลา 1:55 น. บทสนทนาทางแชทข้อความเมื่อตอนดึกทำให้ฉันหนักใจและนอนไม่หลับ ฉันปลดผ้าปูที่นอนที่พันรอบตัวออกแล้วค่อยๆเดินไปที่โซฟา ฉันค้นหาในกูเกิ้ลว่าทำอย่างไรจึงจะหลับได้ แต่กลับเจอสิ่งที่ไม่ควรทำ เช่น อย่างีบหลับ ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือทำงานจนดึก ฉันเช็คผ่านทุกข้อ เมื่ออ่านต่อ มีคำแนะนำไม่ให้ดู “หน้าจอ” จนดึก อุ้ย การส่งข้อความไม่น่าใช่ความคิดที่ดี เมื่อพูดถึงการพักผ่อน มีหลายอย่างที่เราไม่ควรทำ

ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงมอบกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสิ่งที่ห้ามทำในวันสะบาโตเพื่อจะได้หยุดพัก ในพันธสัญญาใหม่พระเยซูทรงให้แนวทางใหม่ คือ แทนที่จะเน้นกฎระเบียบ พระองค์ทรงเรียกให้เหล่าสาวกเข้ามาสู่ความสัมพันธ์ “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มธ.11:28) ในข้อก่อนหน้านั้น พระเยซูทรงชี้ถึงความสัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกันมาตลอดของพระองค์กับพระบิดาผู้ซึ่งพระองค์ทรงสำแดงแก่เรา ความช่วยเหลือที่พระบิดาทรงจัดเตรียมให้พระองค์อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่เราสามารถมีได้เช่นกัน

เราอาจรู้วิธิีหลีกเลี่ยงงานอดิเรกที่จะรบกวนการนอนหลับของเรา แต่การหยุดพักในพระคริสต์เป็นเรื่องของความสัมพันธ์มากกว่ากฎระเบียบ ฉันปิดหน้าจอที่อ่านแล้ววางหัวใจที่แบกภาระหนักลงบนหมอนแห่งคำเชื้อเชิญของพระเยซูที่ตรัสว่า “จงมาหาเรา”

สติปัญญาที่เราต้องการ

เอลเลนเปิดตู้จดหมายและพบซองขนาดใหญ่โดยระบุที่อยู่ของเพื่อนรักเธอเป็นผู้ส่ง วันก่อนเธอได้แบ่งปันความทุกข์ที่คล้ายกันกับเพื่อนคนนี้ เธอแกะห่อนั้นด้วยความสงสัยและพบสร้อยคอลูกปัดหลากสีร้อยด้วยเชือกกระสอบธรรมดา การ์ดที่แนบมามีคำขวัญของบริษัทว่า “อ่านแบบรหัสมอส” และคำที่ถอดรหัสเป็นข้อความหลักแหลมที่ซ่อนไว้ในสร้อยคอว่า “จงแสวงหาทางของพระเจ้า” เอลเลนยิ้มขณะสวมสร้อยไว้ที่คอ

พระธรรมสุภาษิตเป็นหนังสือที่รวบรวมคำพูดแห่งสติปัญญา หลายบทเขียนขึ้นโดยซาโลมอนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นชายที่ฉลาดที่สุดในยุคของพระองค์ (1 พกษ.10:23) ทั้ง 31 บทล้วนเรียกให้ผู้อ่านรับฟังสติปัญญาและหลีกเลี่ยงความโง่เขลา เริ่มต้นด้วยข้อความหลักของสุภาษิต 1:7 “ความยำเกรงพระเจ้าเป็นบ่อเกิดของความรู้” สติปัญญาคือการรู้ว่าควรทำอะไรเมื่อไหร่ ซึ่งได้มาจากการถวายเกียรติแด่พระเจ้าโดยแสวงหาทางของพระองค์ ในช่วงบทนำบอกเราว่า “จงฟังคำเตือนของพ่อเจ้าและอย่าทิ้งคำสั่งสอนของแม่เจ้า เพราะทั้งสองนั้นเป็นมงคลงามสวมศีรษะของเจ้า เป็นจี้ห้อยคอของเจ้า” (ข้อ 8-9)

เพื่อนของเอลเลนได้ชี้นำเธอไปยังแหล่งแห่งสติปัญญาที่เธอต้องการ คือการแสวงหาทางของพระเจ้า ของขวัญชิ้นนี้ช่วยให้เธอหันความสนใจไปยังที่ซึ่งเธอจะพบความช่วยเหลือที่ต้องการได้

เมื่อเราถวายเกียรติแด่พระเจ้าและแสวงหาทางของพระองค์ เราจะได้รับสติปัญญาที่เราต้องการในแต่ละเรื่องและในทุกๆเรื่องที่เราเผชิญในชีวิต

ความห่วงใยของพระบิดา

โป๊ก! ฉันเงยหน้าขึ้นและเอียงหูไปตามเสียง เมื่อมองเห็นรอยเปื้อนตรงหน้าต่าง ฉันชะโงกออกไปมองที่ระเบียงและเห็นร่างของนกที่ยังคงหายใจอยู่ ฉันสงสารมันมากและอยากช่วยเจ้านกน้อยที่บอบบาง

ในมัทธิว 10 พระเยซูทรงอธิบายถึงความห่วงใยของพระบิดาที่มีต่อนกกระจาบ เพื่อหนุนใจบรรดาสาวกขณะที่พระองค์เตือนพวกเขาถึงเหตุร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น พระองค์ทรงสอนทั้งสิบสองคนในขณะที่ “ประทานอำนาจให้เขาขับผีร้ายออกได้ และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้” (ข้อ 1) สำหรับสาวกการมีอำนาจเช่นนี้อาจดูยิ่งใหญ่ แต่หลายคนจะต่อต้านพวกเขา ทั้งพวกผู้ปกครอง ครอบครัวของพวกเขา และคนชั่วที่จ้องจะทำร้าย (ข้อ 16-28)

จากนั้นในข้อ 29-31 พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่าอย่ากลัวในสิ่งที่พวกเขาเผชิญเพราะพวกเขาจะอยู่ในการดูแลของพระเจ้าเสมอ พระองค์ตรัสว่า “นกกระจาบสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้...เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเลยท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่านกกระจาบหลายตัว​”

ฉันคอยดูนกตัวนั้นตลอดทั้งวัน ทุกครั้งที่ดูก็เห็นว่ามันยังไม่ตายแต่ไม่ขยับเขยื้อน พอตกเย็นมันก็หายไป ฉันอธิษฐานขอให้มันรอด แน่นอนว่าถ้าขนาดฉันยังห่วงใยนกตัวนั้นมากถึงเพียงนี้ พระเจ้าก็ทรงห่วงใยมากยิ่งกว่าลองนึกดูสิว่าพระองค์ทรงห่วงใยคุณและฉันมากแค่ไหน!

เธอทำสุดกำลังของเธอ

เธอวางกล่องคัพเค้กลงบนสายพานที่เลื่อนไปหาพนักงานคิดเงิน ตามด้วยการ์ดวันเกิดและมันฝรั่งทอดกรอบหลายถุง ปอยผมที่หลุดจากหางม้าด้านหลังปรกใบหน้าอันเหนื่อยล้า ลูกน้อยร้องเรียกให้เธอสนใจ เมื่อพนักงานแจ้งยอดเงิน ผู้เป็นแม่ก็หน้าเสีย “โอ ฉันคิดว่าคงต้องเอาอะไรออก แต่ทั้งหมดนี่ฉันซื้อให้งานปาร์ตี้ลูก” เธอถอนหายใจมองหน้าลูกน้อยด้วยความเศร้า

ลูกค้าที่ยืนต่อแถวจากเธอเข้าใจความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่ดี ฉากนี้คล้ายกับถ้อยคำของพระเยซูที่ตรัสกับมารีย์จากเบธานีว่า “ซึ่งผู้หญิง​นี้​ได้​กระทำ​ก็​เป็น​การ​สุดกำลัง​ของ​เขา” (มก.14:8) หลังจากชโลมพระองค์ด้วยน้ำมันหอมราคาแพงก่อนการสิ้นพระชนม์และการฝังพระศพ นางมารีย์ถูกสาวกของพระองค์เย้ยหยัน พระเยซูตำหนิสาวกด้วยการกล่าวชมสิ่งที่เธอทำ พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า “เธอทำทุกอย่างที่ทำได้” แต่ตรัสว่าเธอทำสิ่งที่เธอทำได้ ราคาของน้ำหอมไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่การที่มารีย์ลงทุนความรักด้วยการกระทำต่างหากที่สำคัญ ความสัมพันธ์กับพระเยซูส่งผลออกมาเป็นการกระทำ

ช่วงเวลานั้นเองก่อนที่ผู้เป็นแม่จะทันได้คัดค้าน ลูกค้าคนที่สองเสียบบัตรเครดิตของเธอในเครื่องคิดเงินและจ่ายค่าสินค้าให้ จำนวนเงินนั้นไม่ได้มากมายและเธอมีเงินเพิ่มพิเศษในเดือนนั้น แต่สำหรับผู้เป็นแม่สิ่งนี้มีค่ายิ่ง การกระทำด้วยความรักอันบริสุทธิ์นี้เกิดขึ้นในเวลาที่เธอต้องการ

น้ำตาลไอซิ่งแห่งความเชื่อ

ฉันจูงมือหลานชายกระโดดเล่นผ่านลานจอดรถเพื่อไปหาชุดพิเศษสำหรับใส่ในวันเปิดเทอม หลานวัยเตรียมอนุบาลตื่นเต้นกับทุกอย่าง และฉันตั้งใจที่จะจุดประกายความสุขของเขาให้เป็นความร่าเริงยินดี ฉันเพิ่งเห็นแก้วกาแฟที่มีข้อความว่า “ยายคือแม่ที่มีน้ำตาลไอซิ่งเยอะๆ” น้ำตาลไอซิ่งคือความสนุกความสดใสและความร่าเริงยินดี! นั่นคือหน้าที่ของฉันในฐานะยาย ใช่ไหมใช่แล้ว...และยังมีมากกว่านั้นอีก

ในจดหมายฉบับที่สองของเปาโลถึงลูกฝ่ายวิญญาณคือทิโมธี ท่านระลึกถึงความเชื่อที่จริงใจของทิโมธีและชมเชยทั้งโลอิสยายของเขาและยูนีสผู้เป็นแม่ (2 ทธ.1:5) ทั้งสองดำเนินชีวิตตามความเชื่อซึ่งทำให้ทิโมธีได้มาเชื่อในพระเยซูเช่นกัน แน่นอนว่าโลอิสและยูนีสรักทิโมธีและจัดหาสิ่งจำเป็นให้ แต่พวกท่านทำมากกว่านั้น เปาโลชี้ให้เห็นถึงความเชื่อที่มีอยู่ในท่านทั้งสองอันเป็นที่มาของความเชื่อในทิโมธีด้วย

หน้าที่ของฉันในฐานะยายนั้นรวมถึงการเป็น “น้ำตาลไอซิ่ง” สำหรับเรื่องชุดไปโรงเรียน แต่ยิ่งไปกว่านั้น ฉันถูกเรียกให้เป็นน้ำตาลไอซิ่งเมื่อฉันแบ่งปันความเชื่อด้วยการก้มศีรษะอธิษฐานก่อนกินนักเก็ตไก่ เมื่อสังเกตดูเมฆรูปนางฟ้าที่เป็นผลงานศิลปะของพระเจ้า เมื่อร้องเจื้อยแจ้วไปกับเพลงพระเยซูในรายการวิทยุ ให้เราดูและทำตามอย่างแม่และยายแบบยูนีสและโลอิส ที่ทำให้ความเชื่อกลายเป็นน้ำตาลไอซิ่งในชีวิต เพื่อที่ผู้อื่นจะอยากได้ในสิ่งที่เรามี

จดหมายที่ห่วงใย

หลายทศวรรษก่อน ด็อกเตอร์เจอร์รี่ มอตโต้ได้ค้นพบถึงพลังของ “จดหมายที่ห่วงใย” งานวิจัยของเขาพบว่า การแค่ส่งจดหมายแสดงความห่วงใยต่อคนไข้ที่ได้กลับบ้านซึ่งก่อนหน้านี้เคยพยายามจะฆ่าตัวตายนั้น ลดโอกาสของการกระทำซ้ำลงได้ครึ่งหนึ่ง ไม่นานมานี้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพพบพลังนี้อีกเมื่อส่งข้อความ โปสการ์ดหรือข้อความผ่านสังคมออนไลน์ที่แสดงถึง “ความห่วงใย” ในการติดตามผลการรักษาโรคซึมเศร้ารุนแรง

“หนังสือ” ยี่สิบเอ็ดเล่มในพระคัมภีร์ที่จริงแล้วเป็นจดหมาย คือสารที่เขียนถึงผู้เชื่อในศตวรรษที่ 1 ซึ่งเผชิญความท้าทายหลายอย่าง เปาโล ยากอบและยอห์นเขียนจดหมายเพื่ออธิบายถึงพื้นฐานของความเชื่อและการนมัสการ และการที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งและเสริมสร้างความเป็นหนึ่ง

ส่วนอัครทูตเปโตรเขียนถึงผู้เชื่อซึ่งถูกข่มเหงโดยเนโรจักรพรรดิโรมันโดยเฉพาะ เปโตรย้ำถึงคุณค่าที่แท้จริงของพวกเขาต่อพระเจ้า โดยอธิบายใน 1 เปโตร 2:9 ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ” นี่ช่วยทำให้พวกเขามองไปที่พระประสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาในโลกนี้คือ “เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์”

พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงเขียนหนังสือซึ่งเต็มไปด้วยจดหมายที่ห่วงใยต่อเราด้วยพระองค์เอง เป็นพระธรรมจากการดลใจ เพื่อเราจะมีบันทึกถึงคุณค่าในการที่พระองค์ทรงเลือกเราให้เป็นของพระองค์เอง ขอให้เราอ่านจดหมายของพระองค์ทุกวันและแบ่งปันกับผู้อื่นที่ต้องการความหวังที่พระเยซูทรงมอบให้

ความรักที่ลึกซึ้ง

ดีแลน แมคคอยวัย 3 ขวบเพิ่งจะหัดว่ายน้ำเมื่อเขาร่วงทะลุแผ่นไม้อัดผุๆลงไปในบ่อน้ำลึก 40 ฟุต ที่ผนังบ่อน้ำเป็นหินในสวนหลังบ้านของคุณปู่ดีแลนสามารถลอยตัวในน้ำลึก 10 ฟุตได้จนพ่อของเขาลงไปช่วย พนักงานดับเพลิงเตรียมหย่อนเชือกเพื่อจะดึงตัวดีแลนขึ้นมา แต่พ่อเป็นห่วงลูกชายอย่างมากจึงได้ปีนผนังหินลื่นๆลงไปก่อนแล้วเพื่อให้มั่นใจว่าเขาปลอดภัย

ช่างเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ของพ่อแม่! ไม่ว่าจะลึกเพียงใดเราจะลงไปเพื่อช่วยลูกของเรา!

เมื่ออัครทูตยอห์นเขียนจดหมายถึงผู้เชื่อในคริสตจักรยุคแรก ที่กำลังดิ้นรนค้นหารากฐานแห่งความเชื่อเพราะมีคำสอนผิดมากมายวนเวียนรอบๆพวกเขาในขณะนั้น ยอห์นฝากคำพูดซึ่งเหมือนกับตัวช่วยชีวิต “จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไรที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้น” (1 ยน.3:1) การเรียกผู้ที่เชื่อในพระเยซูว่า “ลูก” ของพระเจ้าเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความสนิทสนมที่ทำให้สถานภาพของผู้วางใจในพระองค์สมบูรณ์

ช่างเป็นความรักที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ของพระเจ้าต่อลูกๆของพระองค์!

มีการกระทำบางอย่างที่พ่อแม่จะทำเพื่อลูกๆของเขาเท่านั้น เหมือนที่พ่อของดีแลนลงไปในบ่อน้ำเพื่อช่วยเขา และเช่นเดียวกับการกระทำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระบิดาบนสวรรค์ ผู้ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเพื่อรวบรวมเราไว้ให้อยู่ใกล้พระทัย และไถ่เราให้มีชีวิตร่วมกับพระองค์ (ข้อ 5-6)

กำจัดผู้บุกรุก

ยังไม่สว่างดีนักเมื่อสามีฉันลุกจากที่นอนและเข้าไปในครัว ฉันเห็นเขาเปิดและปิดไฟจึงสงสัยว่าเขาทำอะไร แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าวานนี้ฉันส่งเสียงร้องตอนเห็น “ผู้บุกรุก” อยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว ซึ่งแปลได้ว่ามีสัตว์หกขาที่ฉันไม่ชอบอยู่ที่นั่น สามีรู้ว่าฉันกลัวมันจึงรีบกำจัดมันออกไป เช้านี้เขาตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูว่าในครัวไม่มีแมลงอะไรที่ฉันจะต้องกลัวเมื่อเข้าไป เขาช่างน่ารักจริงๆ!

สามีของฉันตื่นขึ้นมาโดยคิดถึงฉันและสิ่งที่ฉันต้องการก่อนความต้องการของตัวเขาเอง สิ่งที่เขาทำนี้ทำให้ฉันเห็นภาพความรักที่เปาโลอธิบายไว้ในเอเฟซัส 5:25 “ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร” และ “สามีจึงควรจะรักภรรยาของตนเหมือนกับรักกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตนเอง” (ข้อ 28) เปาโลเปรียบเทียบว่าความรักของสามีเหมือนกับความรักของพระคริสต์ที่พระเยซูทรงให้ความต้องการของเรามาก่อนความต้องการของพระองค์ สามีของฉันรู้ว่าฉันกลัวผู้บุกรุกนั้น เขาจึงรีบจัดการให้ก่อนสิ่งใด

หลักการนี้ไม่ใช่สำหรับสามีเท่านั้น เมื่อเห็นตัวอย่างของพระเยซูแล้ว เราแต่ละคนก็สามารถเสียสละด้วยความรัก เพื่อช่วยกำจัดผู้บุกรุกที่เป็นความเครียด ความกลัว ความอับอาย หรือความกังวล เพื่อให้ผู้อื่นใช้ชีวิตได้อย่างมีเสรีมากขึ้น

โดมแห่งเสียงกระซิบ

ภายในโดมสูงตระหง่านของมหาวิหารเซนต์ปอล นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นบันได 259 ขั้นไปสู่โดมแห่งเสียงกระซิบได้ ใครก็ตามที่อยู่ตรงทางเดินตามแนววงกลมนั้นจะได้ยินคำกระซิบของคุณแม้จะอยู่อีกฝั่งที่ห่างไปเกือบร้อยฟุต วิศวกรอธิบายความประหลาดนี้ว่าเป็นเพราะรูปโค้งของโดมและคลื่นเสียงกระซิบที่มีคลื่นความถี่ต่ำ

เราเองก็ปรารถนาที่จะมั่นใจว่าพระเจ้าได้ยินคำกระซิบที่เจ็บปวดของเรา! พระธรรมสดุดีเต็มไปด้วยคำพยานว่าพระเจ้าทรงได้ยินเรา ทั้งเสียงคร่ำครวญ คำอธิษฐานและเสียงกระซิบ ดาวิดเขียนว่า “ใน​ยาม​ทุกข์​ระทม​ใจ ข้าพเจ้า​ร้อง​ทูล​ต่อ​พระ​เจ้า ข้าพเจ้า​ร้อง​ทูล​ขอ​ความ​ช่วยเหลือ​จาก​พระ​เจ้า​ของ​ข้าพเจ้า” (สดด.18:6) ท่านและผู้เขียนสดุดีคนอื่นๆ ร้องทูลวิงวอนว่า “[ขอ]ทรง​ฟัง​คำ​อธิษฐาน​” (4:1) เสียง (5:3) เสียงร้องคราง (102:20) บางครั้งก็เป็นคำกระซิบว่า “[ขอ]ทรงฟังข้าพเจ้า” (77:1) เมื่อ “ข้าพเจ้า​ตรึก​ตรอง​และ​วิญญาณ​จิต​ของ​ข้าพเจ้า​ก็​เสาะหา” (77:6)

ในส่วนของการตอบคำร้องทูลวิงวอนนั้น ผู้เขียนสดุดีบอกเช่นเดียวกับดาวิดในสดุดี 18:6 ว่าพระเจ้าทรงสดับฟัง “จาก​พระ​วิหาร​ของ​พระ​องค์ ​พระ​องค์​ทรง​สดับ​เสียง​ของ​ข้าพเจ้า และ​เสียง​ร้อง​ของ​ข้าพเจ้า​ได้​ยิน​ไป​ถึง​พระ​กรรณ​ของ​พระ​องค์” เนื่องจากตอนนั้นยังไม่มีการสร้างพระวิหาร เป็นไปได้ไหมว่าดาวิดหมายถึงพระเจ้าทรงฟังจากที่ประทับของพระองค์บนสวรรค์

จาก “โดมแห่งเสียงกระซิบ” ของพระองค์ในฟ้าสวรรค์ พระเจ้าโน้มพระองค์ลงฟังเสียงพึมพำจากส่วนลึกที่สุด แม้กระทั่งเสียงกระซิบของเรา...และทรงได้ยิน

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา